เปรียบเทียบ GoPro HERO7 Black และ Osmo Action ฉบับละเอียด

0

ก่อนหน้านี้ DJI ได้ส่ง OSMO Pocket ออกมาแย๊บๆกับทาง GoPro ซึ่งก็เป็นกล้องที่สามารถใช้ทำ VLOG ได้เหมือนกันแต่คุณสมบัติหลายๆอย่างก็ต่างกัน และเราเคยได้เปรียบเทียบ DJI Osmo Pocket กับ GoPro Hero7 Black แบบละเอียด กันไปแล้ว ตอนนี้ DJI ได้ส่ง OSMO Action ออกหมัดตรงไปยัง GoPro แม้เป็น Action Camera เหมือนกันแต่ต้องบอกว่ามีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร หมัดนี้จะน็อคผู้นำด้านกล้อง Action Camera ได้หรือไม่มาดูกัน

ปล. ภาพส่วนใหญ่จะไม่มีการตกแต่งใดๆทั้งสิ้นเพื่อให้เห็นไฟล์จริงๆหลังกล้อง นอกจากมีการแต่งภาพเพื่อทดสอบไฟล์ Raw ซึ่งจะเขียนระบุไว้

ลักษณะภายนอก

OSMO Action มีขนาด 6.5×4.2×3.5 ซม. GoPro HERO7 Black มีขนาด 6.2 x 4.4 x 3.2 ซม. ก็ถือว่าขนาดไล่เลี่ยกันครับ GoPro Hero 7 Black สูงกว่าเล็กน้อย OSMO Action ยาวกว่าเล็กน้อย เพราะฉะนั้นใส่เคสเดียวกันไม่ได้
น้ำหนัก GoPro HERO7 Black น้ำหนัก 116 กรัม ขณะที่ Osmo Action 124 กรัม ซึ่ง Osmo Action หนักกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรมาก

หน้าจอ Osmo Action กว้างกว่าเล็กน้อย อยู่ที่ 2.25 นิ้ว ขณะที่ GoPro HERO7 Black 2 นิ้ว

หน้าจอด้านหน้าของ GoPro HERO7 Black ใช้บอกสถานะการตั้งค่าต่างๆ แต่ของ OSMO Action เป็นจอไว้ถ่ายเซลฟี่ได้ ถือว่าเป็นไฮไลท์ของ OSMO Action เลย และกรอบตรงกล้องของ OSMO Action ออกแบบเป็นวงกลมให้ตัดกับสี่เหลี่ยม แต่ GoPro HERO7 ฺBlack เป็นสี่เหลี่ยมให้เข้ากับตัวเครื่อง อันนี้แล้วแต่ใครชอบดีไซน์แบบไหน Osmo Action มีช่องระบายความร้อนด้านหน้าแต่ใช้ๆไปก็ร้อนเหมือนกันนะครับ แต่ทั้งสองตัวไม่มีปัญหาเรื่องจนเครื่องดับ

ปุ่มตรงนี้ค่อนข้างต่างกันพอสมควร ทำให้กรอบของแต่ละตัวไม่สามารถใช้แทนกันได้ เดี๋ยวจะลงรายละเอียดปุ่มในเรื่อง การออกแบบการใช้งาน

แบตของ OSMO Action ติดอยู่กับตัวฐานปิดเลย แต่สามารถซื้อเพิ่มเป็นแบตสำรองได้ และมีการล็อคสองชั้น ส่วน GoPro Hero7 Black เปลี่ยนแบตได้ตามปกติอยู่แล้ว และมีการล็อคชั้นเดียว ตรงนี้ก็ถือว่าไม่ได้มีผลอะไรมากครับ

การ์ดหน่วยความจำของ GoPro HERO7 Black ใส่ช่องเดียวกับแบต แต่ OSMO Action ใส่ช่องใกล้ๆ USB-C และ OSMO Action ไม่มีช่อง HDMI

การออกแบบการใช้งาน

มีปุ่ม QuickCapture เหมือนกัน คือกดปุ่มถ่ายวิดีโอได้เลย และ OSMO Action สามารถ Custom ปุ่มนี้ให้ทำอย่างอื่นได้ ที่ต่างคือ OSMO Action มีปุ่มเพิ่มเข้ามาคือ QuickSwitch คือใช้เปลี่ยนโหมดแบบรวดเร็ว ซึ่งปกติ GoPro จะใช้เปลี่ยนโหมดโดยปุ่มปิด (ถ้ากดแช่ปิด กดแปปเดียวเปลี่ยนโหมด) ส่วน Osmo Action ถ้ากดแปปเดียวตรงปุ่มเปิดปิด จะเป็นการปิดหน้าจอแทน และ QuickSwitch สำหรับ OSMO Action สามารถ Custom ได้ ตรงนี้ถ้าใครใช้ GoPro มาก่อนอาจงงๆ แต่ถ้าใช้ไปซักพักก็เริ่มชิน

การออกแบบก็ดูง่าย ใช้สะดวกพอๆกันนะครับ GoPro อาจดีเรื่องใช้แค่ 2 ปุ่มไม่ยุ่งยาก OSMO มีปุ่มเพิ่มเข้ามา แต่ก็ได้เรื่อง Custom ปุ่มซึ่งอาจทำงานเร็วขึ้น

การถ่ายภาพ

เซนเซอร์ขนาด 1/2.3″ เท่ากัน ความละอียด 12 ล้านพิกเซลเหมือนกัน รูรับแสง 2.8 เท่ากัน ISO100-3200 เท่ากัน ความเร็วชัตเตอร์ OSMO Action ถ่ายได้ 1/8000 วินาที – 2 นาที ส่วน GoPro HERO7 Black ได้ 1/2000 – 30 วินาที

มุมมองการรับภาพของ GoPro HERO7 Black แม้ไม่ได้มี SuperView เหมือนตอนถ่ายวิดีโอแต่ก็ให้ภาพที่กว้างกว่า

ภาพจากกล้อง ไม่มีการตกแต่ง

ส่วนตัวผมชอบเลนส์ Ultra Wide อยู่แล้วเพราะชอบถ่าย Landscape ทำให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าดูใหญ่ สิ่งที่อยู่ด้านหลังดูเล็กให้ลักษณะที่ดูน่าสนใจสำหรับผมนะครับ

สำหรับการเก็บรายละเอียด GoPro HERO7 Black มีฟังก์ชั่น HDR Photo ทำให้ได้ภาพที่รายละเอียดที่ดีกว่า และยังปรับสีสันให้เหมาะสมด้วย

ภาพจากกล้อง ไม่มีการตกแต่ง

Osmo Action แม้ไม่มี HDR สำเร็จรูปมาให้ แต่สามารถถ่ายคร่อมได้ คือ ถ่ายความสว่างที่ต่างกันเพื่อเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างและมืด เช่นภาพด้านล่าง 3 ภาพ ต้องนำไปรวมกันเองทีหลัง

มาดูตัวอย่างไฟล์ Raw และภาพหลังแต่งแล้วโดยการทดสอบดึงไฮไลท์และเงาและเร่งสี ของ GoPro HERO7 Black

		

ด้านบนเป็นตัวอย่างไฟล์ Raw และภาพหลังแต่งแล้วโดยการทดสอบดึงไฮไลท์และเงาและเร่งสี ของ Osmo Action

ถ่ายภาพกลางคืน

แม้ OSMO Action ไม่มี Night Mode ที่ใช้ง่ายเหมือน GoPro HERO7 Black แต่สามารถไปปรับความเร็วชัตเตอร์เองได้ มาดูคุณภาพที่ถ่ายตอนแสงน้อยกันครับ

มี Noise พอๆกัน แต่สีกลางคืนของ Osmo Action ดูสดกว่า แต่แสงแฟลร์ของ Osmo Action ดูไม่ดีนัก

ถ่ายต่อเนื่อง

GoPro Hero7 Black ถ่ายต่อเนื่องได้ 30 ภาพ ต่อวินาที แต่ OSMO Action ได้แค่ 7 ภาพต่อวินาที

30 ภาพต่อวินาที ของ GoPro HERO7 Black

วิดีโอ

การถ่ายวิดีโอ Osmo Action นั้นมีดีเลย์เล็กน้อยเมื่อเทียบกับ GoPro HERO7 Black ตอนถ่ายอาจมีความรู้สึกหน่วงๆอยู่บ้าง (ดูจากวิดีโอด้านบน)

มุมมองการรับภาพวิดีโอของ GoPro HERO7 Black กว้างกว่า FOV อยู่ที่ 170 ส่วน OSMO Action FOV อยู่ที่ 145 เมื่อเปิด กันสั่น Osmo Action จะถูกครอปไปอีก 18% แต่ GoPro HERO7 Black ครอปไปแค่ 10%

ภาพแคปมาจากวิดีโอไม่มีการปรับแต่ง

กันสั่น

กันสั่นทดสอบดูแล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่ครับ (ลองดูในวิดีโอด้านบน) ต้องบอกว่าทำได้ดีมากๆทั้งคู่ แต่น่าเสียดายที่ Video HDR ของ OSMO Action เปิดพร้อมกันสั่นไม่ได้

กันสั่นของ Osmo Action จะถูก Crop ความกว้างของภาพไปประมาณ 18% ส่วน GoPro HERO7 Black ถูก Crop ความกว้างของภาพไปประมาณ 10%

การเก็บรายละเอียด

ภาพแคปมาจากวิดีโอไม่มีการปรับแต่ง ทดสอบ Dynamic Range

วิดีโอปกติ GoPro HERO7 Black เก็บรายละเอียด (Dynamic Range) ได้ดีกว่า สังเกตท้องฟ้าในรูปด้านบนให้รายละเอียดครบกว่า และนางแบบผิวสีแทนก็ให้สีที่ตรง ส่วน Osmo Action สีผิวนางแบบจะซีดหน่อย ถ้าชอบขาวก็อาจชอบ Osmo Action (แต่จะขาวทั้งภาพ สังเกตแสงสีทองตรงพื้น ของ Osmo Action จะขาวไปเลย)แ OSMO Action มีโหมด Video HDR ซึ่งโหมดนี้ช่วยให้เก็บรายละเอียดดีกว่า GoPro เล็กน้อย แต่ข้อเสียของโหมดนี้คือใช้กันสั่นไม่ได้ ซึ่งสำหรับผมถือว่าเป็นข้อเสียร้ายแรงพอสมควร เพราะถ่ายทั่วไปจะใช้กันสั่นอยู่แล้ว และโหมด Video HDR ถ่ายได้แค่ 30 fps

ภาพแคปมาจากวิดีโอไม่มีการปรับแต่ง ทดสอบ Dynamic Range

สี

ภาพแคปมาจากวิดีโอไม่มีการปรับแต่ง

สีของวิดีโอสำหรับ GoPro Hero7 Black จะให้สีที่สดใสมากกว่า นอกจากนี้ GoPro HERO7 Black มีโหมด Flat ที่สามารถนำไปปรับแต่งต่อได้ดีกว่า ส่วน Osmo Action จะมีโหมด D-CINELIKE ที่ให้สีตุ่นๆ เหมือนในหนัง

วิดีโอกลางคืน

ภาพแคปมาจากวิดีโอไม่มีการปรับแต่ง

วิดีโอกลางคืน Osmo Action แฟลร์ตรงแสงไฟ เป็นเส้นๆ GoPro HERO7 Black คอนทราสต์เยอะกว่า

วิดีโอ Slow Motion

ทั้งคู่ สามารถถ่าย Slow Motion ได้ 8 เท่า หรือ 240 fps ที่ ความละเอียด Full-HD มีข้อสังเกตนิดหน่อยคือ ถ้าเกิน 60 fps ทาง OSMO Action จะไม่มีกันสั่นแล้ว แต่ GoPro Hero7 จะมีกันสั่นแบบธรรมดา (ไม่ใช่ HyperSmooth) ที่ 120 fps

ผลลัพธ์วิดีโอของ Osmo Action จะออกมาเป็น Slow ให้เลย แต่ของ GoPro Hero7 Black ต้องไปยืดในการตัดต่ออีกที

Timelapse / TimeWarp

ทั้งคู่มีฟีเจอร์ Timelapse เหมือนกัน แต่ GoPro HERO7 Black มีฟีเจอร์มากกว่าโดยเฉพาะ TimeWarp ที่ Vlogger หลายคนชอบใช้กัน ในส่วนนี้ OSMO Action ไม่มี ชมวิดีโอด้านล่าง ตัวอย่าง Timewarp ที่มีเฉพาะ GoPro HERO7 Black ครับ

ซูม

ภาพถ่ายและวิดีโอ GoPro HERO7 Black รองรับการซูม แต่ OSMO Action ไม่รองรับ

เสียง

GoPro Hero7 Black มีไมโครโฟน 3 ตัว ส่วน Osmo มี 2 ตัว ในสถานการณ์ปกติถือก็ใช้งานโอเคทั้งคู่นะครับ GoPro HERO7 Black ฟังดูมีมิติกว่าเล็กน้อย

เราได้ทดสอบ (ดูในวิดีโอด้านบน) การจัดการกับเสียงลม หากไม่เปิดฟังก์ชั่น ลดเสียงลม Osmo Action ลมเข้าเยอะมาก พอเปิดฟังก์ชั่นลดเสียงลมดีขึ้นมาพอสมควรได้ยินเสียงจากด้านหลังกล้อง แต่ด้านหน้ากล้องไม่ค่อยได้ยิน ต่างจาก GoPro Hero7 Black ซึ่งให้เสียงที่ชัดกว่า

กันน้ำ

หากไม่ใส่เคส OSMO Action กันน้ำได้ 11 เมตร GoPro HERO7 Black 10 เมตร

คำสั่งเสียง

ทั้งคู่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง แต่ OSMO Action มีแค่ 5 คำสั่ง แต่ GoPro HERO7 Black มี 15 คำสั่ง สามารถสั่งเปิดกล้องได้ซึ่ง OSMO Action ยังทำไม่ได้

การเชื่อมต่อ

ทั้งคู่ต่อ Wi-Fi เชื่อมต่อกับมือถือได้ โดย GoPro มีแอพ Quik ซึ่งมีเพลงและเอฟเฟคให้เลือกมากกว่า DJI Mimo ของ Osmo นอกจากนี้ GoPro HERO7 Black ยังมีช่อง miniHDMI ส่วน Osmo Action ไม่มีในส่วนนี้ครับ

GPS

GoPro HERO7 Black มี GPS Telemetry สามารถจับความเร็ว เส้นทาง ฯลฯ ได้ ส่วน Osmo Action ไม่มีจุดนี้ครับ

ถ่ายทอดสด (Live)

GoPro Hero7 สามารถ Live ลง Facebook, Youtube ได้ ส่วน OSMO Action ยัง Live ไม่ได้

การรองรับไฟล์ HEVC

ไฟล์ HEVC หรือ H.265 เป็นรูปแบบไฟล์คุณภาพสูงและใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยกว่า ซึ่ง GoPro HERO7 Black รองรับ H.265 แต่ Osmo Action ไม่รองรับ (รองรับแค่ H.264)

โปรแกรม/แอพ

GoPro HERO7 Black มีแอพ GoPro และ Quik ซึ่งมีระบบ Face&Smile Detection เวลานำวิดีโอของ GoPro มาตัดต่อใน Quik App มันจะเลือก Scene ให้ มีเอฟเฟคและเสียงให้เลือกมากกว่าของ DJI Mimo

แบตเตอรี่

Osmo Action แบเตอรี่ขนาด 1300 mAh ส่วน GoPro HERO7 Black อยู่ที่ 1220 mAh ซึ่ง OSMO Action ถ่าย 4K ได้ 65 นาที ส่วน GoPro HERO7 Black ถ่ายได้ 61 นาที

ประสบการณ์การใช้งาน

ต้องบอกว่าผมใช้งาน GoPro HERO7 Black มานานแล้วตั้งแต่ออกใหม่ๆ และดีใจที่ DJI Osmo Action ออกมา เพราะจะมีการแข่งขันเรื่องราคา และสเปคกันมากขึ้น หลังจากที่ผมจับ Osmo Action เกือบสัปดาห์ แรกๆต้องบอกเลยว่า งงมาก ตั้งแต่ปุ่มครับ มีมา 3 ปุ่ม GoPro Hero7 Black มี 2 ปุ่ม ซึ่งเป็นการงงที่เกิดจากความไม่คุ้นเคย และที่งงอีกอย่างคือ เปิดจอหน้ายังไงหว่า จนไปค้นหาคำตอบว่าต้องแตะสองนิ้วตรงหน้าจอ พอใช้ไปซัก 2-3 วันก็เริ่มชินและเข้าที่เข้าทาง สิ่งหนึ่งที่แอบลุ้นมากคือกันสั่นครับ เพราะ GoPro HERO7 Black นี่เลื่องลือมากเรื่องกันสั่นนิ่งมาก พอมาเทส OSMO เห้ย ทำได้พอๆกันเลย แต่เสียดายวิดีโอ HDR เปิดกันสั่นไม่ได้ไม่งั้นจะแจ่มกว่านี้ ตัวเครื่องใช้ไปซักพักก็ร้อนเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีปัญหาร้อนจับเครื่องดับทั้งคู่

เรื่องการถ่ายภาพชอบ GoPro Hero7 Black มากกว่า เพราะมี HDR เก็บรายละเอียดได้มากกว่า ให้สีที่สดกว่า แต่ชอบ Osmo Action ที่มีช่วงความเร็วชัตเตอร์ให้กว้างดี มุมมองภาพ GoPro Hero7 Black ให้มุมมองที่กว้างส่วนตัวผมชอบเลนส์กว้างอยู่แล้วเพราะชอบถ่ายวิว และเวลาเซลฟี่จะเห็นวิวเยอะทำให้เห็นบรรยากาศมากกว่า การถ่ายต่อเนื่องจริงๆ 7 ภาพต่อวินาทีของ Osmo Action ถือว่าค่อนข้างเพียงพอสำหรับถ่ายภาพกระโดดทั่วไป แต่ 30 ภาพต่อวินาทีนี่จะเป๊ะกว่าช็อตสำคัญๆ โอกาสพลาดจะน้อยกว่า ส่วนวิดีโอผมว่าไม่ต่างกันมากนัก เพราะส่วนตัวผมใช้กันสั่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น Video HDR คงไม่ได้ใช้ เพราะมันจะปิดกันสั่น และถ่ายได้แค่ 30 fps และดูแล้วก็ไม่ได้ดีกว่ามากนัก และ Osmo Action ไม่มี Timewarp และ Live ไม่ได้ อันนี้ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย เรื่องเสียงแม้ GoPro HERO7 Black จะทำได้ดีกว่า แต่คิดว่าถ่ายจริงๆคงไม่ได้ไปต้านลมอะไรขนาดนั้น และชอบตอนถ่าย Slow Motion ที่ OSMO Action ให้ไฟล์วิดีโอ Slow มาเลย จะได้ดูผลลัพธ์ก่อน

ชอบจอเซลฟี่ของ OSMO action ทำให้เห็นหน้าตัวเอง แต่ GoPro HERO7 Black มีมุมมองที่กว้างมากอยู่แล้วยังไงก็ติดถ่ายหน้าแน่ๆ แต่มีก็ดีกว่า แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้เปิดไว้ตลอดเพราะเปลืองแบต ดูแค่ช่วงแรกเท่านั้นครับ

ราคา

DJI OSMO Action เปิดตัวที่ 12,000 บาท
GoPro HERO7 Black เปิดตัวที่ 14,500 บาท ได้ของแถมประมาณ 2,290 บาท

ซึ่งราคาแต่ละร้านก็อาจจัดโปรโมชั่นต่างกันไปลองตรวจสอบกันดูนะครับ

สรุป

ทั้งคู่มีหลายๆอย่างคล้ายกัน แต่ฟังก์ชั่นหลักๆ ที่จำเป็น GoPro HERO7 Black ทำได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพ HDR ถ่ายภาพต่อเนื่องได้มากกว่า 4 เท่า สีที่อิ่มกว่า เสียงในวิดีโอที่ดีกว่า แม้ OSMO Action จะมีวิดีโอ HDR แต่ไม่มีกันสั่นและถ่ายได้แค่ 30 fps หลายคนคงเลือกที่จะมีกันสั่นมากกว่ารายละเอียดที่เพิ่มมาเล็กน้อยแต่ภาพดูแบนขึ้น ส่วนฟีเจอร์เสริมหลายตัว Osmo Action ทำดีดีกว่า เช่น ถ่ายช่วงความเร็วชัตเตอร์มากกว่า, กันนั้นได้มากกว่า 1 เมตร จอด้านหลังใหญ่กว่า มีจอด้านหน้าเพื่อเซลฟี่ แต่ฟีเจอร์เสริมบางอย่างก็ไม่มีเหมือน GoPro Hero7 Black เช่น Live และ Hyperlapse หรือ Timewarp ซึ่งแล้วแต่การใช้งาน บางคนก็อาจไม่ได้ใช้ตรงนี้

การที่ DJI ส่ง OSMO Action สู้ตรงๆกับ GoPro Hero7 Black ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ GoPro ร่วง แต่สู้กันได้อย่างดุเดือดอยู่เหมือนกัน ทั้งคู่ก็มีข้อดีข้อสีต่างกันครับ ลองอ่านให้ละเอียด หรือลองไปจับจริงๆ ดูว่าเราใช้งานแบบไหนมากกว่า เลือกตัวที่เหมาะกับเราครับ

อ่านรีวิว GoPro HERO 8 Black

อ่านรีวิว GoPro MAX