เชื่อว่าหลายคนคงไม่เคยได้ยินชื่อ Peter Belanger แต่คุณเคยเห็นรูปของเขาอย่างแน่นอน ความจริงแล้วคุณอาจเห็นรูปของเขาทุกวันด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่โด่งดังมาก Belanger เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของภาพผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ว่า Apple ไม่ใช่ลูกค้าของเขารายเดียว เขายังทำให้หลายบริษัทดัง เช่น eBay, Nike, Square ไปจนถึง Pixar วันนี้มีบทสัมภาษณ์ของ Theverge มาให้อ่านกันครับ ดู พื้นหลังของรูปด้านบนซิ มีแต่อุปกรณ์แพงมากๆทั้งนั้น ผมคัดส่วนสำคัญๆ มาให้อ่านครับ
คุณถ่ายรูปพวกผลิตภัณฑ์และโฆษณาได้เจ๋งมากๆ คุณทำมันได้อย่างไร
ขณะที่ผมเรียนการถ่ายรูป ผมอยู่ในโปรแกรมที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ คือใช้ หลักการ และ ความหมาย มากกกว่าเรื่องของ เทคนิค
เป้าหมายตอนนั้นคือเอารูปไปแขวนไว้ที่พิพิธภัณฑ์ พอถึงจุดนึง ผมได้ตัดสินใจว่าต้องเรียนรู้อีกหน่อย เกี่ยวกับ การถ่ายรูปเชิงพาณิชย์
ผมเลยสมัครฝึกงานใน San Francisco ผมเห็นผลงานภาพถ่ายด้านพาณิชย์มากมาย เนื่องจากบริษัทผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนั้นอยู่แถวๆ Silicon Valley ผมชอบในแง่มุมของการทำงานกับลูกค้า และ การแก้ปัญหาที่ท้าทายในแต่ละงาน อีกอย่างผมก็ชอบเพราะ ผมมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยการทำงานแบบนี้
อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของคุณ ?
มันไม่มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจโดดเด่นขึ้นมาอันเดียวนะครับ ผมได้มาจากหลายๆอย่าง อย่างหนึ่งก็คือ การดูนิตยสารปัจจุบัน มันทำให้ผมเห็นความคิดสร้างสรรค์และสไตล์ใหม่ๆ ผมหาแรงบันดาลใจในภาพนั้นๆ มันอาจแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสไตล์ของผล แต่ผมก็อาจดูแสงที่ดี หรือชุดที่เป็นเอกลักษณ์ หนังและทีวี มันก็ให้แรงบันดาลใจได้เหมือนกัน
รายละเอียดทางเทคนิคที่อยู่เบื้องหลังรูปของคุณมันก้ำกึ่งระหว่างความเรียบง่าย และ ความซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อ
มันยากที่จะดูผลิตภัณฑ์นั้นๆ จากด้านนอกตอนคุณจัดแสง คุณช่วยอธิบายได้ไหมว่า หลักๆ คุณวางแผนและถ่ายยังไง
ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ มีกี่ภาพที่ต้องถ่ายให้เสร็จในวันนั้น ผมพยายามจัดแสงที่ผมต้องการให้แตกต่างกันในแต่ละผลิตภัณฑ์
ในอุดมคติแล้ว ผมจะพิจารณวัสดุของผลิตภัณฑ์นั้นๆ แล้วหาว่าแสงแบบไหนจะดีที่สุดสำหรับมัน บางครั้งมันก็ง่ายกว่าโดยการจัดแสงวัสดุนั้นเลย โดยยังไม่ต้องคำนึงถึงพื้นผิว (เพราะมันสามารถเพิ่มได้ภายหลัง) เมื่อผมจัดแสงที่ดูซับซ้อนรอบๆผลิตภัณฑ์นั้น เพราะผมต้องใช้แสงที่แม่นยำและนั้นทำให้ผมสามารถควบคุม ไฮไลท์และเงาได้อย่างใจนึก
แต่บางครั้งผมก็มีเวลาไม่มากและสินค้านั้นก็ไม่สามารถให้ความร่มมือกับผมมากนัก ผมก็จัดแสงไฟแบบง่ายๆ เช่น
มีงานนึงผมไปถ่ายรองเท้าหนังสัตว์ราคาแพง และมีงูจริงๆที่เลื้อยออกมาจากรองเท้านั้น ผมตัดสินใจที่จัดแสงแบบง่ายๆ เพราะ งูมันกำลังเลื้อยไปเลื้อยมา ผมใช้แสงจากหน้าต่างบานเล็กๆในการถ่ายแต่ละครั้ง
กล้องตัวไหนที่คุณใช้บ่อยที่สุด
Canon 5D Mark III เลนส์ส่วนมากใช้ 24-70 mm ถ้าผมสามารถใช้เลนส์ได้อันเดียวนะ มันเหมาะกับหลายๆสถานการณ์ของผมมาก ผมประทับใจกับ ความชัดตื้นที่ f/2.8 ของเลนส์ตัวนี้เสมอ
คุณมาทำงานให้ Apple ได้อย่างไร ?
ผมเคยทำงานให้ เอเจนซี่รายนึงซึ่งมี บริษัท apple เป็นลูกค้าผ่านไปหลายปี เอเจนซี่ได้ม่การพัฒนาขึ้นและมีนักออกแบบ โปรดิวเ๙อร์จำนวนมากที่ย้ายไปทำงานกับ apple ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนเหล่านั้น เขาเลยใช้ผมทำงานนี้ให้ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ความสัมพันธ์ของผมยังคงอยู่ต่อไป
คุณอธิบายหน่อยได้ไหมว่าเบื้องหลังกระบวนการถ่ายงานที่สร้างสรรค์ของผลิตภัณฑ์ Apple นั้นเป็นอย่างไร ?
ทีมงานของแอปเปิ้ลนั้นได้ทำการบันทึกและสเก็ตภาพที่เขาต้องการ ผมมีหน้าที่ทำภาพวาดนั้นเป็นรูปถ่ายเริ่มจาก ตำแหน่งการวางของผลิตภัณฑ์ ต่อมาการจัดแสง ต้องพิถีพิถันมาก เพราะวัสดุที่แอปเปิ้ลเลือกใช้เป็นวัสดุที่เลือกมาอย่างดีเช่นกัน ผมหาพื้นที่ที่เราจะเริ่มงานนี้กัน และพิจารณาวัสดุนั้นๆ เมื่อเสร็จแล้ว นี่เป็นการจัดแสงนี้ซับซ้อนมากของผม ผมต้องควบคุมแสงใบแนต่ละพื้นผิว ตามที่ลูกค้าขอ ผมทำได้ มันก็เหมือนกันการแต่งรูปใน PHOTOSHOP ที่คุณไม่ได้ทำรูปทั้งหมดในเลเยอร์เดียว ผมคิดว่าแสงของผมคือเลเยอร์ ผมสามารถปรับแต่งได้ตามที่ผมต้องการ
I think of my lights as layers that I can adjust individually to get the desired results.
คุณให้นำ้หนักระหว่างการถ่ายด้วยกล้อง และการแต่งภาพอย่างไร ?
ส่วนมากผมทำทุกอย่างด้วยกล้อง เท่าที่กล้องสามารถจะทำได้ แม้ว่าบางรูป ต้องไปแต่งอีกที เพราะว่าไม่ว่าคุณถ่ายได้ดีแค่ไหน แต่พอขยายไปที่ 100% คุณจะเห็นอะไรที่คนทั่วไปไม่เห็น สิ่งที่ดูเรียบเนี่ยนแล้วตอนที่คุณถืออยู่บางครั้งมันก็ไม่เป็นแบบนั้นซะทีเดียว ความไม่สมบูรณ์ต่างๆ มันจะถูกขยายออกมาก มีอยู่หลายครั้งที่ผมถ่ายในแบบที่เรียกว่า Frankenstein photography คือถ่ายหลายๆส่วนแล้วมาต่อกันในโปรแรกมแต่งภาพ เป็นเทคเนิคที่ดีเมื่อผมไม่สนใจความถูกต้องหรือความเป็นจริงของภาพมากนัก หรือเมื่อผมต้องทำบางอย่างที่ไม่สามารถทำในกล้องอย่างเดียวได้ ผมได้ทำปกอัลบั้มขึ้นมาสำหรับ The Brokenmusicbox เป็นรูปที่ประกอบขึ้นมากจากหลายชิ้น
คุณถ่ายรูปเพื่อความสนุกอย่างไรบ้าง
ลูกผมไงล่ะ ผมรู้ว่ามันฟังดูน่าเบื่อ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมได้ถ่ายรูปพวกเขาทุกๆวันตั้งแต่เขาเกิด มันเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผม เพราะมันต่างจากงานที่ผมทำ บางอย่างที่ผมสามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลว่าลูกค้าจะคิดอย่างไร ไม่มีความกดดัน ผมเป็นพ่อที่โชว์รูปการแข่งเบสบอลด้วยเลนส์ 400 mm ให้ลูกดู และเขาก็ไปโม้กับเพื่อนๆ แต่ไม่ต้องสนใจตรงนี้นักหรอก สิ้นปีแต่ละครั้ง ผมได้สร้างอัลบั้มด้วย 365 รูปให้ลูกผมดู
ถ้าคุณสามารถดูการทำงานต่างๆของช่างภาพคนไหนก็ได้ คุณจะดูของใคร ?
มันจะแหล่มมากถ้าผมได้ใช้เวลาทำงานถ่ายรูปกับ Anton Corbijn ผมเป็นแฟนคลับเขามากนาน โดยเฉพาะเขาทำงานกับนักดนตรีหลากหลาย ที่ผมได้ฟังอยู่ตลอด เขามีไสตล์การถ่ายสารคดีมาก และ มีลูกค้าที่แตกต่างมากกว่าผม รูปของเขามีความสไตล์ที่แข็งแกร่ง ขณะที่มันดูเรียบง่ายและมีเรื่องราว
มีเครื่องมือหรือ App ไหนที่คุณใช้อยู่ทุกวันไหม ?
ผมใช้ Aperture ในการเปลี่ยน raw files ไปเป็น camera files และใช้ Caption One, Photoshop, xScope เป็น App ขนาดเล็กแต่มีประโยชน์มาก
Evernote , Dropbox ไว้จัดการเอกสาร Blinkbid สำหรับตีราคาและบัญชี ผมพยายามอัพเดทอุปกรณ์ผม เมื่อปีที่แล้ว ผมใช้แค่ Profoto light ผมต้องการขยายมัน ผมเลยเพิ่ม Broncolor Light ไป ในสตูดิโอผม ผมถ่ายกับ Phase One digital black กับ กล้อง Sinar X View และ Phase One 645 camera system นอกสตูดิโอผมใช้ Canon 5D Mark III
คุณชอบหนังแนวไหน ?
True Romance เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นถึงพลังของความตั้งใจ ผู้คนสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อสิ่งที่เขารัก มีเส้นบางๆสำหรับถูกและผิด และมีเส้นหนาๆด้วย ผมต้องการตั้งชื่อลูกคนแรกของผมตามตัวละครเรื่องนี้แต่เมียผมคัดค้าน
สุดท้ายอยากบอกอะไร ?
ผมรักที่จะคิดหาวิธีที่จะถ่ายบางสิ่งมากกว่าที่ต้องแสดงให้บางคนเห็นสิ่งที่พวกพวกเขาต้องการ
Credits: Theverge